รายการเย็นนี้มีเรื่องเล่า ตอน ก่อนทำประชามติ...รู้จัก “MOU 43 – MOU 44” แค่ไหน

Описание: ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ปะทุความรุนแรงตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน สถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติ เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถหาข้อตกลง เพื่อนำไปสู่ภาวะปกติได้



ปมข้อพิพาทได้ลุกลามไปในหลายมิติ และหนึ่งในนั้น มีการเสนอให้ไทยยกเลิก “MOU 2543” และ “MOU 2544” ที่ได้ทำข้อตกลงร่วมกับกัมพูชา



แต่ข้อเสนอดังกล่าวนั้น ไม่ง่าย เพราะมีหลายฝ่ายกังวลว่า หากมีการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ จะทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชาในเวทีโลก



เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าไทยจะเลือกทางไหน ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศที่จะทำประชามติ เกี่ยวกับ “MOU ไทย-กัมพูชา” โดยให้เหตุผลว่า ต้องการให้เกียรติประชาชนในการตัดสินใจว่า จะเดินหน้าต่อ หรือยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ



และพลันที่นายกฯ มีแนวทางนี้ออกมา ก็มีเสียงสะท้อนว่า เป็นการโยนภาระให้กับประชาชน เพราะการที่จะยกเลิก MOU หรือไม่นั้น รัฐบาลมีอำนาจที่จะทำได้ และการที่จะให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจว่า จะยกเลิก MOU ดังกล่าว ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหา และความสำคัญของ MOU ทั้ง 2 ฉบับ มากน้อยเพียงใด



จากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ที่ได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ รวม 1,310 ตัวอย่าง ในหัวข้อ “จะทำประชามติแล้ว…เข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 หรือยัง” ได้ผลที่น่าสนใจ



โดยเมื่อถามถึงความเข้าใจของประชาชน เกี่ยวกับเรื่อง MOU 43 ปรากฏว่า ร้อยละ 44.12 ไม่เข้าใจเลย , ร้อยละ 24.96 ไม่ค่อยเข้าใจ , ร้อยละ 23.13 ค่อนข้างเข้าใจ และร้อยละ 7.79 เข้าใจมาก



ส่วนความเข้าใจเรื่อง MOU 44 พบว่า ผลสำรวจที่ได้คล้ายๆ กัน คือ ร้อยละ 45.73 ไม่เข้าใจเลย , ร้อยละ 24.96 ไม่ค่อยเข้าใจ , ร้อยละ 22.44 ค่อนข้างเข้าใจ และร้อยละ 6.87 เข้าใจมาก



สรุปก็คือ ประชาชนกลุ่มตัวอย่างเกินครึ่ง ไม่เข้าใจเลย และไม่ค่อยเข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 ว่าคืออะไร



สวนทางกับความคิดเห็นต่อประเด็นการทำประชามติเรื่องยกเลิก MOU ปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างมากถึงร้อยละ 60.76 เห็นด้วยให้ยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ส่วนไม่เห็นด้วยให้ยกเลิก มีเพียงร้อยละ 20.92



เมื่อพิจารณาผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ที่ออกมา ถือว่าน่ากังวล เพราะประชาชนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเกี่ยวกับ MOU ทั้งสองฉบับ แต่กลับพร้อมสนับสนุนให้ยกเลิก ดังนั้นหากรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะทำประชามติ ต้องเริ่มเดินหน้าสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาของ MOU ทั้ง 2 ฉบับให้กับประชาชนอย่างรอบด้าน อธิบายข้อมูลทุกแง่ทุกมุม ทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ บนพื้นฐานของความเข้าใจที่ถูกต้องและแท้จริง



สำหรับ “MOU 43” หรือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่ลงนามในปี พ.ศ. 2543 ถือเป็นรากฐานสำคัญของการแก้ไขปัญหาเขตแดนทางบกระหว่างกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การกำหนดเขตแดนทางบกให้ชัดเจนตลอดแนวโดยไม่เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศทางธรรมชาติ



ทั้งนี้ “MOU 43” มีข้อตกลงจำนวน 9 ข้อ โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่ข้อที่ 1 ข้อที่ 5 และข้อที่ 8



โดยข้อที่ 1 ได้กำหนดให้ร่วมกันสำรวจจัดทำหลักเขตแดนทางบก ให้เป็นไปตามเอกสารอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส และสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง



ข้อที่ 5 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐบาล งดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน



และข้อที่ 8 กำหนดให้ระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ด้วยการปรึกษาหารือ และการเจรจา



ขณะที่ “MOU 44” หรือ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ลงนามเมื่อ 18 มิ.ย.2544 โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันหาทางออก "พื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีป" (Overlapping Claims Area : OCA) ในอ่าวไทย ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติ และการที่กัมพูชา ได้ลากเส้นอ้างสิทธิ์ผ่าน "เกาะกูด" ของไทย ถือเป็นการขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ



และที่ผ่านมา ไทยพยายามยกเลิก MOU 44 ในสมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้ง "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจา แต่จนถึงปัจจุบัน MOU 44 ก็ยังไม่ถูกยกเลิกแต่อย่างใด




การตัดสินใจว่าจะยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต แต่ประเด็นนี้รัฐบาลต้องมีความรอบคอบและรัดกุม เพราะถ้าหากผลลัพธ์ที่ออกมา ไม่ใช่เจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน อาจส่งผลเสียต่อประเทศชาติ อย่างน่าเสียดาย.