คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. ม.173, ฟ้องซ้ำ, (ฎีกา 8186/2551)
Автор: ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ
Загружено: 2025-09-28
Просмотров: 19
Описание:
คดีนี้เป็นข้อพิพาททางครอบครัวที่มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการฟ้องหย่าและหลักการห้ามฟ้องซ้อนตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสและมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม 2539 เกิดความขัดแย้งภายในครอบครัว จำเลยได้พาบุตรไปอยู่กับบิดามารดาของตนเอง และไม่ได้กลับมาอยู่ร่วมกับโจทก์อีก ทำให้การใช้ชีวิตคู่ในฐานะสามีภริยาสิ้นสุดลงโดยพฤตินัย
หลายปีต่อมา ในปี 2545 โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาล ขอให้มีการหย่าโดยอ้างเหตุว่า “สมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข และแยกกันอยู่ติดต่อกันเกินสามปี” จำเลยให้การต่อสู้และยื่นฟ้องแย้ง รวมทั้งยังมีการฟ้องร้องกันในคดีอื่น ๆ อีกหลายคดี เช่น คดีค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร รวมถึงข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน สะท้อนให้เห็นว่าคู่สมรสไม่สามารถกลับมาอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขอีกต่อไป
ต่อมา โจทก์ได้ยื่นฟ้องหย่าอีกครั้ง โดยยังคงอ้างเหตุแยกกันอยู่เช่นเดิม โดยโจทก์ยืนยันว่า การที่จำเลยย้ายออกจากบ้านตั้งแต่ปี 2539 และไม่กลับมาอยู่อาศัยร่วมกัน ถือเป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์จะอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภริยาอีกต่อไป อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโจทก์ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ และมองว่าตนเองมีความสามารถในการเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่า เนื่องจากมีรายได้มั่นคงจากการทำงานตำแหน่งนักบิน
อย่างไรก็ตาม จำเลยต่อสู้ว่า การย้ายออกไปอยู่กับครอบครัวของตนเองมิใช่เพราะสมัครใจแยกกันอยู่ แต่เป็นเพราะโจทก์ไม่สามารถดูแลบุตรได้เนื่องจากงานที่ต้องเดินทางบ่อย จึงขอให้จำเลยช่วยดูแลแทน อีกทั้งจำเลยกล่าวหาว่าโจทก์เป็นฝ่ายมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น คบหาหญิงอื่น และยังมีการโอนขายบ้านโดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า “ตนไม่มีภริยา” ทั้งที่ยังมีการสมรสอยู่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต จำเลยจึงได้ยื่นฟ้องเพิกถอนการโอนบ้านและดำเนินคดีทางอาญาต่อโจทก์ด้วย
ในชั้นศาลชั้นต้น คดีนี้ถูกยกฟ้อง โดยศาลเห็นว่ามีปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนเพราะเหตุฟ้องหย่าที่อ้างในคดีนี้เคยถูกนำไปฟ้องมาแล้ว ต่อมาโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์กลับเห็นว่าให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นอื่น ๆ ต่อไป จึงมีการแก้คำพิพากษาให้ดำเนินคดีในบางส่วนต่อ แต่จำเลยได้ฎีกา
เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา ศาลได้พิจารณาประเด็นสำคัญว่า “การฟ้องหย่าในคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำจากคดีก่อนหรือไม่” ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดคือ เหตุฟ้องหย่าในคดีก่อนและคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกัน คือการสมัครใจแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2539 โดยไม่ปรากฏว่ามีการกลับมาอยู่ร่วมกันแล้วแยกกันอยู่อีกครั้งก่อนฟ้องใหม่ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่ามูลเหตุฟ้องหย่าทั้งสองคดีเป็นเหตุเดียวกันทั้งหมด
ตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ได้บัญญัติชัดเจนว่า คู่ความไม่สามารถนำคดีเดียวกันหรือคดีที่มีมูลเหตุเดียวกันมาฟ้องซ้ำอีก หากคดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาหรือได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว หลักการนี้เรียกว่า “ห้ามฟ้องซ้อน” มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมิให้เกิดการฟ้องร้องซ้ำซ้อนในเรื่องเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดภาระเกินจำเป็นทั้งต่อคู่ความและต่อศาล อีกทั้งยังเป็นการคุ้มครองสิทธิของคู่ความให้ได้รับความเป็นธรรม
ในที่สุด ศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้เป็น “ยกฟ้อง” โดยเห็นว่าคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อน การนำเหตุเดิมมาใช้ฟ้องอีกครั้งจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
สรุปได้ว่าคดีนี้ตอกย้ำหลักกฎหมายสำคัญคือ หากคู่ความได้อ้างเหตุฟ้องไปแล้วในคดีก่อน ย่อมไม่สามารถนำเหตุเดียวกันมาฟ้องซ้ำได้อีก เว้นแต่จะมีเหตุใหม่เกิดขึ้นภายหลังที่ต่างไปจากเดิม การวินิจฉัยของศาลฎีกาจึงเป็นแนวทางสำคัญสำหรับคดีครอบครัวและคดีแพ่งทั่วไป เพราะสะท้อนให้เห็นถึงหลักการ “ไม่ให้ฟ้องซ้ำในมูลเหตุเดียวกัน” ซึ่งเป็นกลไกป้องกันความไม่เป็นธรรมและรักษาประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
Повторяем попытку...
Доступные форматы для скачивания:
Скачать видео
-
Информация по загрузке: