อัพเดท 6 ขั้นตอนง่ายๆ

Описание: กด Subscribe https://bit.ly/3NjOKub เพื่อเป็นกำลังใจและสนับสนุนคลิปใหม่ๆ
🔔 กดกระดิ่งแจ้งเตือน อัพเดทข่าวสารความรู้ส่งตรงถึงท่านก่อนใคร
เพื่อนๆท่านใดมีคำถาม ฝากคำถามได้ที่ใต้คลิปน้องชบา🌺 เลยนะคะ
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้น้องชบาคร้า🙏
#ใบขับขี่ #สอบใบขับขี่ #ใบขับขี่2565 #shorts
จาก คลิปก่อนหน้า นี้ ที่ชบาได้เล่าขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับมือใหม่วัยโจ๋ ที่ต้องการสอบใบขับขี่ หรือใบอนุญาตขับรถยนต์เป็นครั้งแรก ว่าควรต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร มีการทดสอบอะไรบาง ใช้เอกสารอะไรในการทำใบขับขี่ วันนี้ชบาจะมาเล่าขั้นตอนการทำใบขับขี่ครั้งแรกให้เพื่อนๆที่อยากรู้ฟังว่า การทำใบขับขี่ครั้งแรกเลย ต้องใช้เวลาทำ 2 วันนะคะ ดังนั้นวางแผนกันให้ดีๆ และสำหรับใครที่ยังไม่ได้รับชมคลิปก่อนหน้าเรื่องการเตรียมตัว ย้อนกลับไปรับชมได้ในช่องน้องชบามาบอกนะคะ
จองคิวออนไลน์ สอบใบขับขี่ครั้งแรก
จองคิวสอบใบขับขี่ รถยนต์ล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก เลือกเมนู “จองคิวทำใบขับขี่” หรือสแกนคิวอาร์โค้ดที่ปรากฎบนคลิปนี้นะคะ https://gecc.dlt.go.th/login หรือจะเป็นการจองคิวผ่าน แอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการทำใบขับขี่
วิธีการเข้าไปจองคิวทำใบขับขี่ออนไลน์นั้นก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เพื่อนเข้าไป
1. ลงทะเบียน หรือ Log In เข้าระบบ หากลงทะเบียนไว้แล้ว
2. เลือกสำนักงานขนส่งที่ต้องการจองคิวไปทำใบขับขี่
3. เลือกประเภทงานบริการเป็น “งานใบอนุญาต” และ ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล
4. เลือก “ทำใบอนุญาตขับรถใหม่”
5. จากนั้นจึงเลือก วัน เวลาที่เราต้องการนัดเพื่อเข้าไปทำใบขับขี่
ที่สำคัญอย่าลืมบันทึกหน้าจอเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อใช้แสดงกับเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานขนส่ง
เมื่อถึงกำหนดวันนัดสอบใบขับขี่ เพื่อนๆอย่าลืมเตรียมเอกสารสำคัญที่ชบาได้บอกไปในคลิปก่อนหน้านี้ ว่า ต้องมี บัตรประชาชนตัวจริง และ ใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 1 เดือน เดินทางไปตามวันเวลา และสถานที่ที่เราได้จองคิวไว้ เผื่อเวลาให้มากเข้าไว้ ทางทีดีควรต้องไปถึงก่อน 8.00น. เพราะต้องยื่นเอกสารและหลักฐานการจองคิวต่อเจ้าหน้าที่ และถ้าไม่ไปตามเวลาที่นัดหมาย ถือว่าสละสิทธิ์
ขั้นตอนในการทำใบขับขี่นั้นจะแบ่งเป็นสองวัน
โดยในวันที่ 1 จะมีขั้นตอน 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่
ทดสอบการมองเห็นสี (เขียว/เหลือง/แดง)
ทดสอบสายตาทางลึก (เลื่อนเสาให้ตรงกัน)
ทดสอบสายตาทางกว้าง (บอกสีที่ปรากฏด้านข้าง)
ทดสอบปฏิกิริยาเท้า (ความสามารถในการใช้เท้าเหยียบเบรก)
2. การอบรมเพื่อสอบใบขับขี่สำหรับผู้ที่ทำครั้งแรก ซึ่งต้องไปอบรมที่สำนักงานเท่านั้น ไม่สามารถอบรมออนไลน์ได้ โดยระยะเวลาในการอบรมสอบใบขับขี่ใหม่ จะใช้เวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมง โดยจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือช่วงเช้า (9.30 – 12.00 น.) และช่วงบ่าย (13.00 – 15.30 น.)
3. ทดสอบข้อเขียน โดยสอบข้อเขียนด้วยคอมพิวเตอร์ ผ่านระบบ Electronic Examination (E-exam) ข้อสอบมีจำนวน 50 ข้อ จะต้องตอบให้ถูกอย่างน้อย 90% หรือ 45 ข้อ หากไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องมาสอบใหม่ในวันถัดไป หรือไม่เกิน 90 วันหลังอบรม
4. จองคิวสอบขับรถ โดยการสอบปฏิบัติจะต้องนัดหมายในวันอื่น
สำหรับขั้นตอนที่ 5- 6 เราจะมาดำเนินการต่อในวันที่ 2 ได้แก่
5. ทดสอบขับรถ ซึ่งขั้นตอนการสอบใบขับขี่รถยนต์ภาคปฏิบัติ มีด้วยกัน 3 ท่า ได้แก่
ท่าเดินหน้าและถอยหลัง เป็นการขับรถในช่องทางที่กำหนดไว้เป็นระยะทาง 12 เมตร โดยเดินหน้า 1 ครั้ง และถอยหลัง 1 ครั้ง
ท่าจอดรถเทียบทางเท้า เป็นการขับรถขนานกับทางเท้าโดยให้ล้อหน้าและล้อหลังทับเส้นสีที่กำหนดไว้ และต้องเว้นระยะห่างจากขอบทางเท้าไม่เกิน 25 ซม. จากนั้นขับตรงไประวังอย่าให้ชนขอบฟุตบาทรวมถึงหยุดในเส้นหยุดรถ ที่ต้องเว้นระยะห่างไม่เกิน 1 เมตร
ท่าขับรถถอยเข้าซอง เป็นการถอยตัวรถเข้าไปอยู่ในซอง และขนานเดียวกับเส้นจอดโดยมีข้อควรระวังคือห้ามเปลี่ยนเกียร์เกิน 7 ครั้ง ชนหรือเบียดเสาในพื้นที่ที่กำหนด
แนะนำให้นำรถของตัวเองไปใช้ทดสอบเพื่อความคุ้นชินและคล่องตัว แต่ถ้าไม่สะดวกทางกรมการขนส่งทางบกแต่ละพื้นที่ จะมีรถให้เช่าขับ โดยคิดราคาเช่ารอบละ 100 บาท มีให้เลือกทั้งสองแบบ ได้แก่ เกียร์ธรรมดา และเกียร์ออโต้ครับ สามารถติดต่อในบริเวณพื้นที่เช่ารถสอบได้เลย
6. ทำใบขับขี่ชั่วคราว
เมื่อผ่านการทดสอบแล้วต่อไปคือชำระค่าธรรมเนียม 205 บาท ถ่ายรูป พิมพ์ใบอนุญาต และจ่ายใบขับขี่ เพียงเท่านี้เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ใบขับขี่ใบแรกที่ได้ จะเป็นใบขับขี่ชั่วคราว มีอายุการใช้งาน 2 ปี เมื่อหมดอายุแล้วต้องไปเปลี่ยนให้เป็นใบขับขี่แบบ 5 ปี ซึ่งเพื่อนๆสามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 3 เดือน และต้องไม่ขาดการต่ออายุเกิน 1 ปี ถ้าเกินจะต้องเข้าอบรม 5 ชั่วโมง และสอบข้อเขียนใหม่ด้วยนะคะ
การเตรียมตัวที่ดี ย่อมส่งผลให้ผู้สอบใบขับขี่ครั้งแรกมีความพร้อมทั้งกายและใจ สามารถแสดงศักยภาพในการทดสอบต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ มีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสในการผ่านการทดสอบได้ไม่มากก็น้อย หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เสี่ยงในการเจ็บป่วย รวมถึงไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำใจให้สบาย ไม่เครียด รับรองว่าสอบผ่านฉลุยแน่นอน