ycliper

Популярное

Музыка Кино и Анимация Автомобили Животные Спорт Путешествия Игры Юмор

Интересные видео

2025 Сериалы Трейлеры Новости Как сделать Видеоуроки Diy своими руками

Топ запросов

смотреть а4 schoolboy runaway турецкий сериал смотреть мультфильмы эдисон
Скачать

หลังความตายเราไปไหนจริงหรือแค่ความเชื่อ

Автор: จิตตานิทาน by พี่บุ้ง

Загружено: 2025-06-22

Просмотров: 32

Описание: มีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้ยินคำว่าสวรรค์ตั้งแต่ยังเล็กบางคนได้ยินจากพ่อแม่บางคนได้ยินจากครูบางคนได้ยินจากพระในวัดและเมื่อโตขึ้นมาก็เริ่มตั้งคำถามว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่หรือเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนกลัวบาปกลัวกรรมหรือเป็นเครื่องมือของศาสนาในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ความสงสัยนี้ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกเพราะในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเหตุผลข้อมูลวิทยาศาสตร์และหลักฐานผู้คนย่อมต้องการคำอธิบายที่จับต้องได้แม้กระทั่งเรื่องชีวิตหลังความตายแต่คำถามที่ว่ามีสวรรค์หรือไม่นั้นเมื่อพิจารณาในแง่พุทธศาสนาแล้วจะพบว่าไม่ได้ตอบด้วยความเชื่ออย่างเดียวหากแต่มีระบบความคิดที่อิงกับเหตุผลและโครงสร้างของจิตใจมนุษย์อย่างลึกซึ้งซึ่งเราจะค่อยๆถอดรหัสเรื่องนี้ไปด้วยกันทีละขั้นตอน

เมื่อพิจารณาตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องโลกสวรรค์ถือเป็นหนึ่งในภูมิทั้งหกซึ่งจัดอยู่ในอบายภูมิและสุคติภูมิสวรรค์คือหนึ่งในสุคติภูมิประกอบด้วยชั้นต่างๆที่เกิดจากผลแห่งบุญหรือผลแห่งจิตใจที่เปี่ยมด้วยความดีความเมตตาและการรักษาศีลอย่างเคร่งครัดแต่ละชั้นของสวรรค์จะแตกต่างกันตามระดับจิตเช่นชั้นจาตุมหาราชิกาชั้นดาวดึงส์ชั้นยามาชั้นดุสิตและชั้นที่สูงขึ้นไปอีกคือปรนิมมิตวสวัตดีและชั้นนิมมานรดีในแต่ละชั้นจะมีลักษณะของความสุขความบริบูรณ์ที่เพิ่มขึ้นตามระดับของบุญที่สั่งสมไว้ซึ่งสอดคล้องกับหลักกรรมคือผู้ใดทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้นแต่การมีอยู่ของสวรรค์ตามแนวคิดพุทธไม่ใช่เพื่อการไปอยู่ถาวรแต่เป็นเพียงสถานที่หนึ่งที่วิญญาณหรือจิตผู้ตายไปเกิดตามแรงของกรรมที่ผลักดันไปชั่วคราวจนกว่าบุญเก่าจะหมดก็ต้องเวียนว่ายต่อไปในภพภูมิใหม่ตามกรรมที่ทำไว้ใหม่

ในพระไตรปิฎกมีบันทึกชัดเจนเกี่ยวกับผู้ที่ทำบุญแล้วไปเกิดบนสวรรค์เช่นเรื่องของพระนางวิสาขาหรือพระเจ้าพิมพิสารที่ทำบุญถวายพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธาและเมื่อตายลงก็ไปเกิดในเทวโลกซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงยืนยันถึงการมีอยู่ของโลกอื่นนอกเหนือจากโลกมนุษย์และสัตว์โลกที่เรารับรู้ได้แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็สอนว่าอย่ายึดติดกับการเกิดในสวรรค์เพราะแม้จะเป็นภพภูมิที่เปี่ยมสุขแต่ก็ยังอยู่ในวัฏสงสารคือยังต้องเกิดตายเวียนว่ายอยู่ไม่สิ้นสุดจิตยังไม่ได้หลุดพ้นจากทุกข์แท้จริงคือยังไม่ได้บรรลุนิพพานดังนั้นสวรรค์ในพุทธศาสนาไม่ใช่จุดหมายปลายทางแต่เป็นเพียงผลของกรรมดีที่ให้ผลในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

ถ้าจะถามว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่ในแง่ที่พิสูจน์ได้เหมือนวิทยาศาสตร์คำตอบอาจยังไม่ชัดเจนแต่ถ้าถามในแง่ของจิตวิทยาและความหมายของการใช้ชีวิตการมีแนวคิดเรื่องสวรรค์ช่วยให้มนุษย์ใช้ชีวิตด้วยความดีไม่ประมาทรู้จักทำบุญให้ทานรักษาศีลซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งเสริมสังคมให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขหากพิจารณาในเชิงจิตวิทยาแล้วความเชื่อว่าสวรรค์มีอยู่ทำให้คนมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตมีเหตุผลในการอดทนและทำความดีแม้ในยามที่ไม่มีใครเห็นแม้จะไม่มีผลตอบแทนในโลกนี้ทันทีแต่เขาก็ยังมีแรงผลักดันบางอย่างให้ทำต่อไปเช่นการที่แม่คนหนึ่งเลี้ยงดูลูกด้วยความอดทนแม้เหนื่อยยากก็ยังเชื่อว่าความดีจะส่งผลหรือการที่คนคนหนึ่งไม่ตอบโต้ความชั่วร้ายด้วยความชั่วเพราะเชื่อว่าสิ่งดีจะย้อนกลับมาในทางใดทางหนึ่ง

สวรรค์ในมุมหนึ่งจึงเปรียบเสมือนรางวัลทางใจเป็นความสุขภายในที่คนดีได้รับแม้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้คือความสุขจากการรู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำชั่วความสุขที่ไม่ต้องหลบหนีใครไม่ต้องโกหกใครความสุขจากการที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนหากมองแบบนี้สวรรค์ก็มีจริงเพราะมันคือสภาวะจิตที่สงบเย็นและเปี่ยมสุขซึ่งไม่ต้องรอให้ตายไปก่อนถึงจะเจอแต่อาจเริ่มสัมผัสได้ทันทีเมื่อใจเริ่มปล่อยวางความโลภความโกรธและความหลง

ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียงเป็นเวลาหลายปีแม้ไม่มีใครช่วยแม้จะเหนื่อยทั้งกายและใจแต่เธอไม่เคยละเลยหน้าที่ไม่เคยทอดทิ้งเมื่อถูกถามว่าเธอทำได้อย่างไรเธอบอกว่าเพราะเธอเชื่อว่าความดีไม่มีวันหายไปแม้ไม่มีใครเห็นแต่ฟ้าเห็นใจเห็นเธอเชื่อว่าสวรรค์ไม่ใช่แค่ที่อยู่หลังความตายแต่คือความอิ่มเอมใจที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เธอได้ดูแลแม่ด้วยความรักตัวอย่างแบบนี้พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันและเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าสวรรค์ในใจมีอยู่จริงโดยไม่ต้องพิสูจน์

ในทางกลับกันการไม่เชื่อว่าสวรรค์มีอยู่เลยเลยไม่แคร์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทำอะไรก็ได้แม้จะผิดศีลธรรมเพราะไม่เชื่อว่ามีผลในภายหลังอาจส่งผลให้สังคมขาดความยับยั้งชั่งใจและเกิดความวุ่นวายอย่างที่เห็นในหลายเหตุการณ์เพราะเมื่อความเชื่อถูกทำลายก็เหมือนหลักจริยธรรมที่ค้ำจุนสังคมหายไปด้วยจึงไม่แปลกที่แม้จะอยู่ในยุคแห่งเหตุผลแต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะสิ่งเหล่านั้นมีพลังในการกำหนดพฤติกรรมและชีวิตได้จริง

เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของการพิจารณาคำถามว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่เราคงไม่สามารถให้คำตอบที่เหมือนกันสำหรับทุกคนได้แต่สามารถสรุปได้ว่าตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วสวรรค์เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในระบบของภพภูมิและเป็นผลแห่งกรรมดีซึ่งเกิดขึ้นจากจิตใจที่สะอาดและเมตตาแต่ไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางสูงสุดของชีวิตแต่เป็นเพียงสถานที่พักชั่วคราวก่อนที่จิตจะเวียนว่ายไปตามแรงกรรมใหม่สวรรค์จึงเป็นสิ่งที่ควรเข้าใจอย่างมีสติว่าแม้จะมีความสุขแต่ก็ไม่ใช่ที่พึ่งถาวร

การดำเนินชีวิตด้วยความดีการทำบุญการฝึกใจให้สงบและการไม่ยึดติดในวัตถุก็เป็นการเดินทางสู่สวรรค์ทั้งในรูปแบบภายนอกและภายในไม่ว่าจะตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงว่ามีสวรรค์หรือไม่แต่คือเรามีคุณสมบัติของผู้จะไปถึงหรือยังจิตใจเราพร้อมไหมที่จะอยู่ในที่ที่เปี่ยมด้วยความสุขหรือยังเต็มไปด้วยความโลภความโกรธความหลงถ้าเรายังไม่พร้อมต่อให้สวรรค์มีจริงเราก็ไปไม่ถึงแต่ถ้าใจเราบริสุทธิ์ไม่ยึดติดไม่อาฆาตไม่เห็นแก่ตัวสวรรค์ก็อาจอยู่ตรงหน้าทุกลมหายใจ

Не удается загрузить Youtube-плеер. Проверьте блокировку Youtube в вашей сети.
Повторяем попытку...
หลังความตายเราไปไหนจริงหรือแค่ความเชื่อ

Поделиться в:

Доступные форматы для скачивания:

Скачать видео

  • Информация по загрузке:

Скачать аудио

Похожие видео

© 2025 ycliper. Все права защищены.



  • Контакты
  • О нас
  • Политика конфиденциальности



Контакты для правообладателей: [email protected]